Monday, July 27, 2009
มณิกัณฐชาดก
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ซึ่งมีทรัพย์สมบัติมาก แม้ในเวลาพระโพธิสัตว์นั้นเที่ยววิ่งเล่นได้ มารดาของพระโพธิสัตว์ก็บังเกิดบุตรอีกคนหนึ่ง ต่อมาเมื่อพี่น้องทั้งสองนั้นเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาก็ทำกาลกิริยา จึงมีความสังเวชสลดใจ พากันบวชเป็นฤาษีสร้างบรรณศาลาอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา บรรดาฤาษีทั้งสองนั้น บรรณศาลาของฤาษีผู้พี่ชายอยู่เหนือแม่น้ำคงคา บรรณศาลาของฤาษีผู้น้องชายอยู่ใต้แม่น้ำคงคา อยู่มาวันหนึ่ง พระยานาค นามว่ามณิกัฏฐะออกจากนาคพิภพ จำแลงเพศเป็นมาณพน้อยเที่ยวไปตามฝั่งแม่น้ำคงคา ไปถึงอาศรมของฤาษีผู้น้อง จึงไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ต่างกระทำสัมโมทนียกถาได้เป็นผู้สนิทสนมคุ้นเคยกัน ไม่อาจเว้นว่างห่างกัน
มณิกัณฐนาคมายังสำนักของพระดาบสผู้น้องแล้วนั่งสนทนาปราศัยกันเมื่อเวลาจะไป ด้วยความสิเนหาในพระดาบส จึงเปลี่ยนแปลงอัตตภาพแล้วเอาขนดหางตระหวัดรัดรอบพระดาบส แล้วแผ่พังพานใหญ่ไว้เหนือศีรษะ นอนพักอยู่หน่อยหนึ่ง พอบรรเทาความสิเนหานั้นแล้วจึงคลายร่างไหว้พระดาบสแล้วกลับไปนาคพิภพของตน ด้วยเพราะความกลัวพระยานาคนั้น พระดาบสจึงซูบผอมเศร้าหมอง ผิวพรรณไม่ผ่องใส เกิดเป็นโรคผอมเหลือง มีเนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยแถวเส้นเอ็น
วันหนึ่งจึงไปหาดาบสผู้พี่ชาย ดาบสผู้พี่ชายจึงได้ถามดาบสผู้น้องชายนั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ เพราะเหตุไรท่านจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณทราม เกิดเป็นโรคผอมเหลือง เนื้อตัวสะพรั่งด้วยแถวเส้นเอ็น ดาบสผู้น้องชายจึงบอกเรื่องราวนั้นแก่ดาบสผู้พี่ชาย
เมื่อพี่ชายถามว่า ท่าน ผู้เจริญ ก็ท่านไม่ต้องการให้พระยานาคนั้นมาหรือ
จึงตอบว่า ไม่ต้องการ
เมื่อดาบสผู้พี่ชายกล่าวว่า ก็พระยานาคนั้น เมื่อมายังสำนักของท่านประดับเครื่องประดับอะไรมา จึงกล่าวตอบว่า ประดับแก้วมณีมา
ดาบสผู้พี่ชายกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เมื่อพระยานาคนั้นมา ไหว้ท่านแล้วยังไม่ทันนั่ง จงรีบขอว่า ท่านจงให้แก้วมณี เมื่อขออย่างนั้น พระยานาคนั้นจักไม่รัดท่านด้วยขนดเลย จักไปทันที วันรุ่งขึ้นพระยานาคนั้นมายืนที่ประตูอาศรมบทยังไม่ทันเข้าไป ท่านพึงขออีก ในวันที่ ๓ ท่านจงไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา พอพระยานาคนั้น ผุดขึ้นจากน้ำพึงร้องขอทันที เมื่อเป็นอย่างนี้ พระยานาคนั้นจักไม่มาหาท่านอีกต่อไป
พระดาบสรับคำแล้วกลับไปบรรณศาลาของตน วันรุ่งขึ้น พระยานาคพอมายืนเท่านั้น ก็ร้องขอว่า ท่านจงให้แก้วมณีเครื่องประดับนั้นแก่เราเถิด พระยานาคนั้น ไม่นั่ง หนีไปเลย ครั้นวันที่สอง พระยานาคนั้นมายืนอยู่ที่ประตูอาศรมบทเท่านั้น ก็กล่าวว่า เมื่อวานท่านยังไม่ได้ให้แก้วมณีแก่เรา แม้วันนี้ ท่านก็จงให้ในบัดนี้เถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น พระยานาคนั้นก็มิได้เข้าไปยัง อาศรมบท รีบหนีไป ในวันที่สาม พอพระยานาคนั้นโผล่ขึ้นจากน้ำ เท่านั้นพระดาบสก็กล่าวว่า เมื่อเราร้องขออยู่วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว บัดนี้ ท่านจงให้แก้วมณีดวงนั้นแก่เราเถิด พระยานาคแม้อยู่ในน้ำ เมื่อจะห้ามดาบสนั้นมิให้ขอ จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :
ข้าวและน้ำอันไพบูลย์ยิ่ง ย่อมเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า เพราะเหตุแก้วมณีดวงนี้
ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่านไม่ได้ ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น
ทั้งข้าพเจ้าก็จักไม่มาสู่อาศรมของท่านอีกด้วย
เมื่อท่านขอแก้วมณีอันเกิดแต่หินดวงนี้ ย่อมทำให้ข้าพเจ้าหวาดเสียว
เหมือนชายหนุ่มมีมือถือดาบอันลับแล้วที่หิน มาทำให้ข้าพเจ้าหวาดเสียวฉะนั้น
ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่านไม่ได้ ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น
ทั้งตัวข้าพเจ้าก็จักไม่มาสู่อาศรมของท่านอีกต่อไป
พระยานาคนั้นครั้นกล่าว อย่างนี้แล้วจึงดำน้ำลงไปยังนาคพิภพทีเดียว แล้วไม่กลับมาอีกต่อไป
ต่อมาพระดาบสนั้นกลับเป็นผู้ซูบผอม เศร้าหมอง ผิวพรรณ ไม่งดงาม เกิดเป็นโรคผอมเหลือง มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยแถวเส้นเอ็น หนักยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเพราะไม่ได้เห็นพระยานาคผู้น่าดูตนนั้น ฝ่ายดาบสผู้พี่ชายคิดว่าจักรู้เรื่องราวของดาบสผู้น้องชาย จึงไปยังสำนักดาบสนั้น ได้เห็นดาบสผู้น้องชายนั้นมีโรคผอมเหลืองหนักกว่าเดิม จึงกล่าวว่า ผู้เจริญ เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงเกิดโรคผอมเหลืองยิ่งกว่าเดิม ครั้นได้สดับว่า เพราะไม่ได้พบพระยานาคผู้น่าดูตนนั้น จึงกำหนดได้ว่า ดาบสนี้ไม่อาจเหินห่างพระยานาคได้ จึงกล่าว คาถาที่ ๓ ว่า :
บุคคลรู้ว่าสิ่งใดเป็นที่รักของเขา ก็ไม่ควรขอสิ่งนั้น
บุคคลย่อมเป็นที่เกลียดชังเพราะขอจัด
พระยานาคถูกพราหมณ์ขอแก้วมณี
ตั้งแต่นั้นมา พระยานาคก็มิได้มาให้พราหมณ์นั้นเห็นอีกเลย
ก็ดาบสผู้พี่ชายครั้นกล่าวกะดาบสน้องชายอย่างนั้นแล้วจึงปลอบโยนว่า ผู้เจริญ ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านอย่าเศร้าโศกเสียใจเลย แล้วกลับไปยังอาศรมของตน
ครั้นในกาลต่อมาอีก ดาบสพี่น้องทั้งสองนั้นทำฌานและสมาบัติให้บังเกิดแล้ว ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า การขอ ไม่เป็นที่ชอบใจแม้ของพวกนาคที่อยู่ในนาคพิภพอันสมบูรณ์ ด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการ จะป่วยกล่าวไปใยถึงมนุษย์ทั้งหลายเล่า
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ดาบสน้องชายในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วน ดาบสผู้พี่ชายคือเราตถาคต ฉะนี้แล
จบ มณิกัณฐชาดก
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment