Monday, March 29, 2010

โอวาทหลวงปู่

โอวาท พระอุบาลีคุณูปมาจารย์

(สิริจันโท จันทร์)

วัดบรมนิวาส แขวงรองเมือง กรุงเทพมหานคร

ในพวกเราชาวสยามนี้ ควรเห็นได้ว่าเป็นคนมีบุญมาก เกิดมาได้พบพุทธศาสนาทีเดียว ดัวยบรุพบุรุษพาถือมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว อย่าพากันมีความประมาท พึงตั้งใจปฏิบัติให้เห็นผลจนรู้สึกตัวว่า เรามีที่พึ่งอันใดแล้ว จึงจะเป็นคนที่ไม่เสียทีที่ได้พบพระพุทธศาสนา

------------------------

อะไรเป็นปัจจัยของอวิชชา เรานั่นแหละเป็นปัจจัยของอวิชชา อะไรเป็นปัจจัยของเรา อวิชชานั่นแหละเป็นปัจจัยของเรา ถ้ามีอวิชชาก็มีเรา ถ้ามีเราก็มีอวิชชา

ตำราแบบแผนมิใช่ยา ยามิใช่ตำราแบบแผน ความไข้ไม่ได้หายด้วยยาอย่างเดียว ต้องอาศัยกินยานั้นด้วยไข้จึงหาย

------------------------

โอวาท หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

วัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

ธรรมะก็มีอยู่ในกาย เพราะกายมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธเจ้าและพระสาวกเจ้าทั้งหลาย ท่านได้เสียสละเช่น ความสุขอันเป็นไปด้วยราชสมบัตินั้น พระองค์ท่านผู้มีคนยกย่องสรรเสริญ คอยปฏิบัติวัฏฐากแล้วได้เสียสละมานอนกับดินกับหญ้า ใต้โคนต้นไม้ถึงกับอดอาหารเป็นต้น

การเสียสละเหล่านี้เพื่อประโยชน์อะไร ก็เพื่อให้ได้ถึงซึ่งวิโมกขธรรม คือ ธรรมะ เป็นเครื่องพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ก็ทรงนั่งสมาธิใต้ร่มไม้ อันเป็นสถานที่สงบสงัด และได้ทรงพิจารณาซึ่งความจริง คือ อริยสัจ 4 นี้ เป็นมูลเหตุอันเป็นเบื้องต้นของพระพุทธเจ้า

------------------------

โอวาท หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ

วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

สิ่งที่ล่วงไปแล้วไม่ควรไปทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งของที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้จะทำความผูกพัน และมั่นใจในสิ่งนั้น กลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปมิได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคตที่ยังไม่มาถึงก็เป็นสิ่งไม่ควรยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้นที่จะสำเร็จเป็นประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย

------------------------

โอวาท หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา อะไรสักอย่าง เราเพ่งดูซี มันไม่เป็นแก่นสารที่ไหนเลย ถ้าเป็นแก่นสาร ที่ไหนเลย ถ้าเป็นแก่นสารทำไมคนจึงล้มหายตายจาก ถ้าเป็นแก่นสารตัวตนของเรา ทำไมเป็นหวัด เป็นไอ เป็นไข้ ทำไมเป็นหนาวเป็นร้อน เป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะเหตุนี้ พึงเห็นว่าไม่ใช่ตัวตน

ตาสำหรับเห็น รูป ใจ เป็นผู้รู้ว่า รูปดี – รูปชั่ว รูปไม่ดี – รูปไม่ชั่ว แท้ที่จริง รูปทั้งหลายเขาไม่ได้ว่า รูปเขาดี เขาไม่ได้ว่าเขาชั่ว เราเป็นผู้ไปว่าเอา สมมติเอา

- พระสติ หมายถึงลมเข้า

- พระวินัย หมายถึงลมออก

- พระปรมัตถ์ หมายถึงผู้รู้ลมเข้าลมออก

------------------------

โอวาท หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชี่ยงใหม่

อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ และเทวดา ได้ถูกไฟ 11 กองเผาอยู่เสมอ เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ 11 กอง คือ

1. ราคะ ความกำหนดชอบใจ อยากได้กามคุณ 5 มี รูป เป็นต้น

2. ไฟโทสะ คือความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ

3. ไฟโมหะ ได้แก่ความลุ่มหลงในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์

4. ชาติ คือ ไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์

5. ชรา คือ ไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์

6. มรณะ คือ ไฟแห่งความตาย อันเป็นทุกข์

7. โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก

8. ปริเทวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไรรำพัน

9. ทุกขัง คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ

10. โทมนัส คือ ไฟแห่งความเสียใจ

11. อุปายโส คือ ไฟแห่งความคับแค้นใจ

ไฟทั้ง 11 กองนี้แหละเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ต้องพากันงมงายเวียนว่ายตายเกิด ได้รับทุกข์ต่างๆ

------------------------

โอวาท หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

พระพุทธเจ้าท่านจึงให้ปล่อยวางอย่าไปยึดถือ ตัวกูของกู ตัวเราของเรา มันเป็นเพียงสมมุติ ให้เป็นตัวเราของเราเท่านั้นแหละ ธาตุแท้มันไม่ได้เป็นของใคร เมื่อมีเหตุ ปัจจัยเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ เมื่อหมดเหตุ ปัจจัยมันไปไหน ก็ละลายลงไปสู่พื้นแผ่นดิน ธาตุดินก็ไปสู่ธาตุดิน ธาตุน้ำก็ไหลไปสู่ธาตุน้ำ ไหลไปในอากาศ ธาตุลมก็ไปกับลม ธาตุไฟความร้อนความอบอุ่นมันก็ไปตามธาตุไฟ ธาตุเหล่านี้เมื่อเขาไหลเข้าไปอยู่ในสภาพของเขา เขาก็ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างไร เพราะธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นธรรมชาติประจำโลกประจำวัฎฎสงสารอันนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว มาถึงพวกเราภาวนาจะต้องให้รู้เข้าใจ จิตมายึดถือความทุกข์ความเวทนานี้เป็นความหลง

------------------------

โอวาท หลวงปู่ขาว อนาลโย

วัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีโทษมีแต่คุณ คือจิตไม่ขุ่นมัว จิตผ่องใส จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็มีความสุขไม่มีความทุกข์ จะเข้าสู่สังคมใดๆ ก็องอาจกล้าหาญ การทำความเพียร เมื่อสมาธิเกิดมีขึ้นแล้วจะไม่มีความหวั่นไหว ไม่ความเกียจคร้านต่อการงาน ทั้งทางโลกทั้งทางธรรม จากนั้นก็เป็นปัญญาที่จะมาเป็นกำลัง เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้วรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ จะเรียนทางโลกก็สำเร็จ จะทำการธรรมก็สำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านจึงสั่งสอนอบรมให้เกิดให้มีขึ้นมาเบื้องต้นตั้งแต่ศีล ศีลเป็นที่ตั้งของสมาธิ สมาธิเป็นที่ตั้งของปัญญา ไม่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางมาแห่งวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยกัน

------------------------

โอวาท หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

วัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

ให้พิจารณาความตาย

นั่งก็ตาย

นอนก็ตาย

ยืนก็ตาย

เดินก็ตาย

------------------------

โอวาท หลวงปู่หลุย จันทสโร

วัดถ้าผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

นี้แหละ…จิตของปุถุชนมันดื้อมันด้าน ดื้อด้านมันไม่ลงรอย จิตชนิดนี้ต้องทรมานด้วยกำลังศีลหนึ่ง กำลังทานหนึ่ง ทานของอวัยวะนะ ไม่ใช่ทานอามิสนี่ทาน ขี้เกียจมาเอาทานมันให้ขยันนั่น คิดอดีตมาเอ้า! ทานมันนะบริจาคนั้น ง่วงเหงาหาวนอน ทานมันนะไม่ต้องนอนนั่น หัดมันนะนั่น ทานละ ไอ้ความชั่วนะนั่น นี้แหละฉันใดก็ดีให้ตั้งอกตั้งใจ

------------------------

โอวาท พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน

วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี

“พระพุทธเจ้าองค์เอก สอนธรรมชั้นเอกทั้งนั้นๆ ให้เราประพฤติปฏิบัตินำเข้าไปต่อกรกับกิเลส เมื่อถึงขั้นเอกจิตแห่งผู้ปฏิบัติแล้ว ทำไมจะไม่เป็นเอกธรรม สำหรับจิตดวงที่พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว ต้องเป็นเอกจิต เอกธรรม นั้นละความเลิศความประเสริฐอยู่ตรงนั้น พระพุทธเจ้าพ้นจากทุกข์ก็พ้นที่ตรงนั้น เลิศก็เลิศที่ตรงนั้น ไม่มีใครบอกว่าเลิศก็เลิศที่ตรงนั้น เป็นของอัศจรรย์ที่ตรงนั้นนอกนั้นไม่ปรากฎว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ และเป็นคู่แข่งแห่งธรรมอันเอกของพระพุทธเจ้าที่หลุดพ้นแล้ว หรือบริสุทธิ์แล้วนั้นเลย”

------------------------

โอวาท หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต

วัดอุดมคงคาคีรีเขต อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น

เป็นครูสอนคนอื่นก็ดีอยู่ หากสอนตัวเองด้วยก็จะดีมากขึ้น เราตรวจคะแนนให้คนอื่น ข้อนี้ถูก ข้อนั้นผิด เราเคยตรวจดูตัวเองบ้างหรือเปล่า วันเวลาผ่านไปตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คะแนนฝ่ายดีกับคะแนนฝ่ายชั่วนั้น ข้างไหนมันมากน้อยกว่ากัน กับไปตรวจตัวเองเด้อ

ศีลมีมากหลายข้อ ไม่ต้องรักษาหมดทุกข้อดอก รักษาแต่ใจของเจ้าให้ดีอย่างเดียวให้ดี กาย วาจา ก็จะดีไปด้วยกันนั่นแหละ

------------------------

โอวาท หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

แม้จบพระไตรปิฎกหมดแล้ว จำพระธรรมได้มากมายมีคนเคารพนับถือมาก ทำการก่อสร้างวัตถุได้อย่างมากมาย หรือสามารถอธิบายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม ถ้ายังประมาทอยู่ก็ยังว่าไม่ได้รสชาดของพระพุทธศาสนาแต่ประการใด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของภายนอกเท่านั้น เมื่อพูดถึงประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ภายนอก

คือเป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นเพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง หรือเพื่อสัญญลักษณ์ของศาสนาวัตถุ ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้นคือ ความพ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อรู้จิตหนึ่ง

- จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย

- ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์

- จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค

- ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ

------------------------

โอวาท หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

“เรือที่นายช่างต่อดีแล้วอย่างแข็งแรง เมื่อถูกคลื่นกระทบแล้วไม่เสียหายฉันใด จิตของบุคคลใดเมื่อฝึกฝนให้ดีแล้ว คลื่นของกิเลสกระทบเข้าย่อมไม่หวั่นไหวก็ฉันนั้น”

อธิบายว่า เมื่อบุคคลใดฝึกจิตนี้ให้มั่น อยู่ในศีล อยู่ในสมาธิ อยู่ในปัญญา เต็มที่แล้วย่อมไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมแปดประการฉันนั้น คือ เมื่อมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ และมีความสุขกายสบายใจ ก็ไม่เพลิดเพลินมัวเมาในลาภ เป็นต้น และเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ถูกทุกข์ครอบงำกายและจิตก็ไม่หวั่นไหว คือไม่เศร้าโศกเสียใจ ทั้งนี้ก็เพราะมีปัญญาเห็นแจ้งตามเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไรเลย มีเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนแตกดับไปเป็นธรรมดา เหมือนกับเรือที่นายช่างต่อดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวต่อคลื่นฉันนั้น

------------------------

โอวาท หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

การปฏิบัติ สำคัญที่การรวมจิตเป็นใหญ่ เพราะพื้นฐานแห่งความดี ความชั่วย่อมเกิดที่จิต ถ้าจิตตัวนี้ปราศจากสติ เป็นเครื่องคุ้มครองหรือประคับประคองเมื่อใด เมื่อนั้นจิตดวงนี้ก็จะต้องมีความเผลอไป นึกสร้างบาปกรรมใส่ตัวเลย เพราะฉะนั้นการอบรมจิตให้มีสติจึงเป็นสิ่งจำเป็น ความทุกข์ทั้งหลายเกิดจากกิเลส โลภะ ราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ถ้าต้องการมีความสุข ต้องการกำจัดกิเลสของตนกิเลสในใจตนเอง ไม่ใช่ไปตั้งหน้ากำจัดกิเลสคนอื่น

------------------------

โอวาท พระอาจารย์วัน อุตตโม

วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร

เพราะฉะนั้นตัณหานี้เราจะต้องเพียรพยายามละ คือ ตั้งความเพียรของเราไว้ “ปหานปธาน” เพียรละความชั่วของเรา “สังวรปธาน” เพียรระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้น “อนุรักขนาปธาน” เพียรรักษาความดีของเราไว้ นี้เรียกว่าหลักของความเพียร จะต้องเพียรพยายามที่เราจะละความชั่วของเราได้ การบำเพ็ญปหานธรรมนี้ เราต้องทบทวนเข้ามา คือทบทวนเข้ามาภายใน มาดูที่จิตใจของเรา ดูที่กายของเรา ดูที่วาจาของเรา ต้องให้ดูกิริยามารยาทของเราที่แสดงออกที่เราปฏิบัติอย่างหนึ่งนั้นดีหรือชั่ว เราต้องมาตรวจค้นดู ทบทวนดู หรือส่องดู เงาของเจ้าของ การภาวนานี้แหละเท่ากับว่าเป็นการส่องดู เป็นแว่นธรรมเป็นกระจกสำหรับส่องดูตัวของเรา ให้รู้ให้เห็นว่าเป็นอย่างไรดีหรือชั่ว สะอาดหรือเศร้าหมอง เราจะได้รู้ได้เห็นด้วยอาศัยการภาวนานี้แหละ

------------------------

โอวาท หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

วัดบรรพตคีรี อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร

“การพิจารณาไตรลักษณให้เห็นชัดประจักษ์แจ้งนี้นา ไม่หวังว่าจะหอบใส่รถไปพระนิพพานด้วยหรอก อนิจจาเอ๋ย พิจารณาเพื่อถอนความหลงของเจ้าตัวที่เข้าใจผิดว่าเป็นของเที่ยงเป็นของสุขเป็นตัวเราเขาสัตว์บุคคลต่างหาก เพื่อให้หน่ายความหลงของเจ้าตัวที่เคยหลงมาอวิชชาก็ว่าปัญญาเป็นหัวหน้าของสมาธิและศีลตอนนี้มีพระกำลังมาก”

------------------------

โอวาท พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร

วัดป่าแก้ว อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

สุขได้สบายได้ แต่สุขสบายเพราะความหลงของใจ ถ้าเกิดโรคภัยเจ็บปวดขึ้น เขาจะมาเต้นรำขนาดไหนให้ดูมันก็ไม่เพลิน จะเอาเงินจะเอาทองมาวางกองเทินไว้ใหญ่โตขนาดไหน มันก็ไม่มีความสุข เพราะใจมันเป็นทุกข์มันห่วง มันหวงในชีวิต คนที่ไม่มีความสุขของใจ โดยส่วนใหญ่ไปสถานที่ใด ใครเข้ามาหาก็บ่นทุกข์อย่างนั้น ก็บ่นทุกข์อย่างนี้ ทั้งๆ ที่มีสมบูรณ์ทุกอย่าง บ้านช่องห้องหออะไรก็ใหญ่โต เงินทองข้าวของอะไรเยอะแยะ แต่ก็บ่นว่า ทุกข์ ทุกข์ มันทุกข์อะไร มันทุกข์ใจ

------------------------

โอวาท พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญจารย์

(เทสก์ เทสรังสี)

วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

ใจ คือผู้อยู่เฉยๆ และรู้ตัวว่าเฉย ไม่คิด ไม่นึก อันนั้นแหละ เรียกตัว ใจ

จิต คือผู้นึกคิด มันคิด มันนึก มันปรุง มันแต่ง สัญญาอารมณ์ทั้งปวงหมด อันนั้นเรียก จิต

เรื่องเรียนพระพุทธศาสนา ไม่ต้องเรียนอื่นไกล เรียนเข้ามาหาใจเสียก่อนแล้วหมดเรื่องพระพุทธเจ้าทรงสอนสาวกทั้งหลาย ก็สอนถึงใจทั้งนั้น ถึงที่สุดก็คือใจ เรียกว่า พุทธศาสนาสอนถึงที่สุดก็คือ ใจ เท่านั้น แต่ว่าเรายังทำไม่ถึงละซี เราจะต้องพยายามฝึกหัดอบรมใจของตนนี้ให้มันถึงที่สุด มันจึงจะเข้าถึงที่สุดของพุทธศาสนา หมดพุทธศาสนาได้

“ผู้ใดทำใจเป็นกลางได้ ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง”

------------------------

โอวาท หลวงปู่คำดี ปภาโส

วัดถ้ำผาปู่นิมิต อำเภอเมือง จังหวัดเลย

การปฏิบัติ ศีล – ธรรม ต้องมีเหตุมีผล เหตุดี ผลก็ดี ถ้าเหตุร้ายผลก็ร้าย เปรียบเหมือนของภายนอก อย่างผลไม้ต่างๆ มันก็เกิดจากต้นของมัน ถ้าไม่มีต้น ก็ไม่มีผล จะเป็นข้าวกล้าผลไม้ในไร่ในสวนก็เช่นกัน ดอกหรือผลของมัน พวกชาวสวนทั้งหลายเขาก็ปฏิบัติตกแต่งแต่ลำต้นของมันเท่านั้น คือเขาต้องใส่ปุ๋ยดายหญ้ารดน้ำและรักษาสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ต้นไม้ของเขาทั้งนั้น เมื่อเขาปฏิบัติลำต้นของมันดังกล่าว เรื่องของดอกและผลมันก็เป็นเอง ดังนี้

ทีนี้การปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาก็คล้ายคลึงกัน ถ้าเราอยากเป็นคนมีเงินทอง อยากร่ำรวยเหมือนเขา อยากมีร่างกายสวยเหมือนเขา อยากมีลาภและมียศเหมือนเขา เราจะไปปฏิบัติตรงไหน พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ถ้ากายของเราดี วาจาของเราดี จิตใจของเราดี ได้ลาภมาก็มากและใหญ่ได้ ยศก็ใหญ่ได้ อะไรมาก็มีแต่ของดีทั้งนั้น ถ้ากาย วาจา ใจดีแล้ว

เมื่อกาย วาจา ใจ ของเราเป็นบาปแล้ว ได้อะไรมาก็เป็นของไม่ดีทั้งนั้น

------------------------

โอวาท ท่านพ่อลี ธัมมธโร

วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

คนบางคนที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลม สามารถจะอธิบายข้ออรรถข้อธรรมได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่กิเลสเพียงหยาบๆ อันเป็นคู่ปรับแห่งศีล แค่นี้ยังละกันไม่ค่อยจะออกนี้เป็นเพราะขาดความสมบูรณ์ แห่งศีล สมาธิ ปัญญากระมัง จึงได้เป็นอย่างนี้

ศีลก็คงเป็นศีลอย่างเปลือกๆ สมาธิก็คงเป็นสมาธิอย่างเปื้อนเปรอะ ปัญญาก็คงเป็นปัญญาอย่างเลอะเลือน เคลือบเอาเสมอเหมือนกับดวงกระจกที่ทาด้วยปรอท ฉะนั้นจึงไม่สามารถเป็นเหตุให้สำเร็จด้วยความมุ่งหวังของพุทธบริษัทได้ ตกอยู่ในลักษณะมีดที่คมนอกฝัก คือฉลาดในเชิงพูด เชิงคิด แต่ดวงจิตไม่มีสมาธิ นี้เรียกว่า คมนอกฝัก

------------------------

โอวาท พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ

วัดเจติยาคีรีวิหาร อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย

อย่าพากันไว้ใจในชีวิตของตน ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงไม่แน่นอน วันนี้เรามีชีวิตอยู่ หายใจอยู่ วันหลังมาชีวิตจะเป็นจั๋งใด๋ดีหรือไม่ ชีวิตของเรานั้นวันหลังจะเป็นอย่างไรในพรรษานี้ พวกเราทั้งหลายเชื่อหรือชีวิตเราจะตลอดพรรษา เพราะความตายเป็นของไม่มีกาลเวลา จิตมันจะตายเวลาไหนก็ไม่รู้เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง สุดแท้แต่มันจะเป็นไป เมื่อเรามีชีวิตอยู่ อย่าพากันประมาท จงพากันรีบบำเพ็ญความดี ให้เกิดให้มีขึ้นในดวงจิต ความคิดของเรา

รู้อื่นหมื่นแสน ยังไม่แม้นเท่ารู้ตน

รู้อื่นหมื่นล้าน ยังไม่พ้นพาลเหมือนดีตน

ชนะอื่นหมื่นโกฏิ ยังไม่พ้นโทษเหมือนชนะตน

รู้ตนดี ตนชนะตน นั้นยอมคนผู้ชนะดี

------------------------

โอวาท หลวงปู่ศรี มหาวีโร

วัดประชาคมวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด

ในเรื่องของจิตคล้ายๆ กับว่า พวกนิวรณ์ มันเคลื่อนหรือไหลหนีทำนองนั้นแหละ เพราะสติเราตั้งจดจ่ออยู่ แต่ยังไม่เข้าถึงจิต พออย่างนี้เคลื่อนไป ก็รู้เรื่องของจิตแล้วไปกำหนดเกี่ยวกับธรรมชาติรู้ อันนี้พวกนิวรณ์ทั้งห้ามาแสดงท่าทางขึ้นอยู่อย่างนั้น เราก็พยายามทดสอบลองดู คือมันถอยๆ ออกพอถอยออกไปหน่อย ก็หุบปั๊บ…!!! พอสติเข้าไปถึงก็ถอนออกทันที รู้เรื่องของกันและกันอยู่อย่างนี้…แต่ว่าจำพวกนิวรณ์ทั้งสี่อย่างมาแรงๆ อย่าโผงผาง เรารู้จักดีไอ้…ตัว “ถีนมิทธะ” คือความง่วงเหงาหาวนอน มันมาอย่างละเอียดอ่อนที่สุด

------------------------

โอวาท พระภิกษุพระยานรรัตน์ ราชมานิต

(ธัมมวิตักโกภิกขุ)

วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร

“ความสงบเป็นสุขจริงหนอ!”

ขณะใดที่ตั้งความระลึกรู้อยู่เฉพาะหน้า เพ่งพินิจพิจารณาสังเกตดูอารมณ์ภายในที่ผ่านใจ ไม่เห็นมีอะไรเป็นแก่นสารมั่นคง ผ่านมาแล้วก็ล่วงเลยลับดับหายไปทุกๆ ขณะ ทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายปล่อยวางเป็นกลางไม่เข้าไปพัวพันรักใคร่ชอบชังติดข้องอยู่ในอารมณ์ใดๆ ขณะนั้นกายใจเบาสบายชุ่มชื่นเยือกเย็นสงบสงัดอยู่ภายใน เป็นสุขวิหารธรรมที่ได้อาศรัยอยู่ทุกวันนี้ฯ

 

ขอประทานน้อมจิตต์ถวายกุศลสนองพระคุณ

ธัมมวิตักโก

No comments: