Sunday, April 19, 2009

เส้นทางเดินของ “ประเทศไทย”

จอม เพชรประดับ


รอยยิ้มดุจผู้ชนะ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของ ครม.รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เพียงไม่ทันข้ามวัน ต้องกลับกลายเป็นความหม่นหมองและความทุกข์อีกครั้ง เมื่อเกิดปฏิบัติการท้าทายอำนาจรัฐอย่างป่าเถื่อนที่สุด คือการล่าสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลางเมืองหลวง

ทั้งที่ใจกลางเมืองหลวง อยู่ในบรรยากาศ ของการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน มีทหาร ตำรวจ และรถถัง เต็มเมือง และนับจากปรากฏการณ์นี้สืบไป คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกแล้ว

วันที่ 14 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา เป็นวันที่ กลุ่ม นปช. หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง ต้องพบกับความพ่ายแพ้ นำไปสู่การยอมมอบตัวของแกนนำหลายคน จากการกดดันจากรัฐบาลอย่างหนัก ในวันนั้น มีคำพูดหนึ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาเปรย ให้ขบคิดกันต่อ นั่นก็คือคำว่า “ขบวนการใต้ดิน” หรือการมี “กองกำลังติดอาวุธ”

เมื่อความยุติธรรม ไม่อาจแสวงได้ด้วยกติกาในระบบ ก็ต้องใช้ขบวนการนอกกติกาและไร้ระบบ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เราคงทราบดีว่า ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ยังไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาเหมือนเดิมได้อีก หากเหตุและปัจจัยแห่งปัญหายังไม่ถูกคลี่คลาย นั่นก็คือความ “อยุติธรรม” และ “สองมาตรฐาน”

ปัญหาความอยุติธรรม และการบริหารจัดการแบบ สองมาตรฐาน ที่ฝังรากลึกยาวนานในสังคมไทย ไม่ได้ถูกอธิบาย และวิเคราะห์ให้เกิดความกระจ่างว่า ได้ส่งผลกระทบอย่างไรในการพัฒนา และการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ทั้ง ๆ ที่นี่คือ สาเหตุหลักที่นำไปสู่การสร้างความแตกแยกที่รุนแรง และกำลังนำประเทศจมดิ่งลงสู่ห้วงเหวแห่งหายนะ

สังคมไทย กลับไปติดกับดักอยู่กับตัวบุคคล หรือ กลุ่มบุคคล ไม่ว่าจะเป็น นักการเมือง พรรคการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นายสนธิ ลิ้มทองกุล พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือแม้แต่กองทัพ ทั้ง ๆ ที่คนกลุ่มนี้ หรือองค์กรเหล่านี้ พยายามที่จะแสวงหาแสงสว่างในพลังแห่งอำนาจและผลประโยชน์ที่ตัวเองพึงหวัง ในยามที่พระอาทิตย์กำลังใกล้อัศดง

อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณทั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กลุ่มคนเสื้อเหลือง และ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง ที่เสียสละอย่างกล้าหาญ หยิบยกเอาจุดอ่อนในระบบโครงสร้างของสังคมไทยมาวิเคราะห์ และเปิดโปงกันอย่างเปิดเผย ทำให้คนไทยทุกระดับตื่นตัว และเข้าใจ จนนำไปสู่การลุกขึ้นเปล่งเสียงเรียกร้อง และรวมพลังกันต่อสู้ของมวลชนในทุกระดับ

แต่ด้วยยุทธศาสตร์การต่อสู้ของกลุ่มบุคคลที่เห็นแก่อำนาจของตัว รวมทั้งความไม่ลึกซึ้งของสื่อมวลชน จึงกลับกลายเป็นการปิดบังซ่อนเร้น เหตุแห่งปัญหาที่แท้ของสังคมไทย ทำให้การต่อสู้อย่างบริสุทธิ์ของประชาชน ที่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรม และต้องการที่จะทำลายกำแพงความเหลื่อมล้ำในสังคมตามระบบสองมาตรฐาน จึงถูกแปรความเป็นการเรียกร้องเพื่อประโยชน์ของกลุ่มบุคคล หรือตัวบุคคลแทน

ดังนั้นการที่จะร่วมกันหาทางออก เพื่อหยุดยั้งหายะของประเทศชาติ และเพื่อดึงประเทศชาติกลับคืนสู่ความเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง จึงไม่ใช่เพียงแค่การ เรียกร้องให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ เร่งสร้างความยุติธรรม หรือจะผลักดันให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ ปฏิรูปการเมืองเพื่อความสมานฉันท์ และก็ไม่มีประโยชน์ที่จะให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน

เพราะ…อำนาจที่รัฐบาลประชาธิปัตย์มี ก็เป็นอำนาจที่ก่อกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับความ “ไม่ชอบธรรม” จึงไม่อาจจะหยิบยื่นความเป็นธรรมให้กับใครได้ ประชาชนคนไทย จึงควรจะเรียกร้องให้ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับความจริงในอำนาจที่ตัวเองได้มา และมีอยู่เสียก่อน

ขณะเดียวกัน..ประชาชนคนไทย จะต้องเรียกร้อง ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับมา เพื่อต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศ และต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยอมรับความผิดพลาด และความเสียหายที่ตัวเองได้ก่อไว้แก่ประเทศชาติ และให้ยุติการกระทำการใด ๆ ที่จะทำให้ประเทศชาติเสียหาย หรือล่มจมไปมากกว่านี้

กระบวนการยุติธรรม จะต้องดึงตัวเองให้หลุดพ้นไปจากสงครามความขัดแย้ง หรือเกมส์แย่งอำนาจ ของกลุ่มบุคคลทั้งหลาย แล้วเร่งรีบสถาปนาความศรัทธาเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในใจของประชาชนทุกระดับอีกครั้ง

องคมนตรีบางท่านที่ถูกดึงลงมาเป็นเครื่องมือการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมา ต้องเคลียร์ตัวเอง และรีบปรับเปลี่ยนบทบาท โดยไม่แสดงออกทั้งต่อหน้า และลับหลังถึงการก้าวก่ายทางการเมือง หากจะมีเจตนาที่ห่วงใยต่อบ้านเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็จะต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส ไม่มีอคติ และไม่สองมาตรฐาน

ประชาชนคนไทย จะต้องเรียกร้อง และกดดัน ให้บรรดานักการเมือง และพรรคการเมือง แสดงออกถึงการเสียสละต่อบ้านเมือง ไม่เอาผลประโยชน์หรือปรารถนาที่จะครองอำนาจเพียงอย่างเดียว โดยจะต้องกดดัน ให้นักการเมือง แสดงสปิริตเสียสละเพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแต่พูดอย่างเดียว

นักวิชาการ และสื่อมวลชน จะต้องไม่ทำตัวเป็นลูกไล่ของผู้กระหายอำนาจ หรือนักการเมือง จะต้องหยิบยื่นแสงสว่างแห่งปัญญาที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่สังคมแห่งความเสมอภาค ความถูกต้อง และความเป็นธรรม

นักธุรกิจ ข้าราชการ และประชาชนคนไทยทุกคน ก็จะต้องกล้าที่จะต้องตั้งคำถามกับตัวเอง และยอมรับความจริงด้วยเช่นกันว่า ที่ผ่านมา พวกเราละเลยไม่เสียสละเพื่อส่วนรวมเท่าที่ควรหรือไม่ หรือทำงานให้กับประเทศชาติน้อยไปหรือเปล่า หรือมัวแต่มุ่งทำงานหาเงินเข้ากระเป๋า เลี้ยงดูครอบครัวตัวเอง จนละเลย ไม่สนใจใยดีกับความเป็นไปในครอบครัวความเป็นชาติไทยของเรา หรือมัวแต่สยบยอมและร้องขอการอุปถัมภ์ค้ำชูจากผู้มีอำนาจอยู่อย่างเดียวหรือเปล่า

หากคนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ต่างยอมรับความผิดพลาดร่วมกันว่า พวกเราทุกคน ต่างก็มีส่วนและเป็นเหตุที่ทำให้ประเทศชาติใกล้ถึงจุดล่มสลาย หนทางแห่งความสมานฉันท์ และการหันหน้าเข้าหากันก็จะเริ่มปรากฏขึ้น เพราะไม่มีการโยนบาป หรือการชี้หน้าว่าใครถูกหรือใครผิด

การยอมรับความจริงเช่นนี้ จะเป็นการสร้างพลังแห่งความเป็นชาติ และจะช่วยฉุดรั้ง ไม่ให้ประเทศจ่มดิ่งลงไปมากกว่านี้ และจะเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยใหม่ ที่มีความเป็นปึกแผ่น มีความหวัง และมีความมั่นคงมากขึ้นด้วย

เพราะถึงอย่างไร นับจากนี้ไป เส้นทางเดินของ “ประเทศไทย” คงไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมได้อีก.

No comments: