Wednesday, February 10, 2010

พญานาคราชผู้พิทักษ์พระธาตุพนม

 

เรื่องพญานาคราชเข้าประทับทรงนี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเดชพระคุณท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร  (แก้ว  กนฺโตภาโส  ป.ธ. ๖ ,  น.ธ.เอก ) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร (พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๕๓ ) พระเดชพระคุณองค์นี้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปมักเรียกท่านว่า “ท่านพ่อ” ซึ่งเป็นคำยกย่องของศิษยานุศิษย์และประชาชนบ้านได้ถวายนามนี้ให้กับท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ท่านเกิดเมื่อปี  ๒๔๕๐ บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร  เมื่อปี  พ.ศ. ๒๔๗๑  มีนามเดิมว่าแก้ว  อุทุมมาลา  มีชาติภูมิใกล้ๆ  กับพระธาตุพนมนี้เองศึกษาทางธรรมได้เปรียญ ๖ ประโยค  ได้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านเป็นผู้มีความรู้ และชอบค้นคว้าวิชาโบราณคดี  ประวัติศาสตร์จนได้รับขนานนามว่า  นักปราชญ์แห่งลุ่มน้ำโขง ท่านได้ทำนุบำรุงวัดพระธาตุพนมารมหาวิหารและให้เจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย  ในปี  พ.ศ. ๒๔๙๙  ท่านได้ก่อตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารและได้ส่งพระภิกษุ  สามเณรและแม่ชีไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลายสำนัก  ได้ฝึกพระภิกษุสามเณรในวัดอยู่เสมอ ๆ

ในเรื่องการนั่งประทับทรงเกี่ยวกับพญานาคนี้  ท่านพ่อเคยกล่าวว่า “ฉันเป็นคนชอบค้นคว้า  และพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ อยู่เสมอ  ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ แต่เรื่องพญานาคทั้งเจ็ดองค์เข้าทรงที่วัดนี้นะ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากอยู่ทีเดียว  ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น  เป็นเรื่องของส่วนบุคคล”  สำหรับเรื่องพญานาคนี้  เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านพ่อฯ ได้ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นได้  ๑  ปี  เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี ๒ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕  ค่ำ พ.ศ.  ๒๕๐๐  คืนนั้นฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง  แล้วตกพรำ ๆ มาอีกกว่า  ๒๐  นาที  ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินสะเทือน  นายไกฮวด  ชาวธาตุพนมได้ออกมารองน้ำฝนที่หน้าร้านของตน  เห็นแสงประหลาดเป็นลำงามโตเท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่มีสีต่าง ๆ กันถึงเจ็ดสี  พุ่งแหวกอากาศแข่งกันเป็นลำยาวหลายเส้น  จากทางด้านทิศเหนือ  มองเห็นได้แต่ไกล  จึงได้ร้องเอะอะเรียกภรรยามาดูแสงสีงามประหลาด  หน้าสะพรึงกลัวขนหัวลุกนั่น  พอมาถึงหน้าซุ้มประตูแสงนั้นก็หายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม  โดยที่ไม่ได้ตาฝาดไปเอง  ต่อมาอีกสองวัน  คือวันขึ้น  ๗ ค่ำ เดือนเดียวกัน  ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร  ได้ให้สามเณรทรัพย์  นั่งทางในตรวจดูเหตุการณ์ว่า  แสงประหลาดเจ็ดสีเท่าลำต้นตาล  ที่นายไกฮวดเห็นเข้ามาในวัดนี้มีความจริงเท็จแค่ไหน  สามเณรทรัพย์เจ้าฌานสมาธิอยู่คู่หนึ่ง  ก็เข้าไปพบพญานาคราชทั้งเจ็ดเรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุพนม  ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล  มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัวสยองพองหัวเหลือที่จะกล่าว  สามเณรทรัพย์ยืนงงงันอยู่ด้วยความประหลาดใจ  พลันประเดี๋ยวเดียวพญานาคทั้ง ๗  ได้กลับกลายเป็นมาณพ  ๗  ชาย  ทรงเครื่องขาวเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่เดิม  จะว่าก้มมิใช่  ยืนก็มิใช่  อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม  สามเณรทรัพย์สนเท่ห์ใจงงจนพูดอะไรไม่ออก  ทันใดมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้ร้องถามว่า  พ่อเณรมีธุระอะไร  อย่ากลัวจงบอกมา  สามเณรยืนงงอยู่มิได้ตอบว่ากะไร  ตั้งใจจะกลับกุฏิ  พญานาคผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นอีกว่า  “พ่อเณรจะกลับแล้วหรือยัง  ขอไปด้วย  จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ” พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณรทรัพย์  ทันทีด้วยจิตอำนาจที่เหนือกว่า  สามเณรทรัพย์พลันหมดความรู้สึกวูบไปทันที  สักครู่ก็หันมายกมือไหว้  ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร  พร้อมกับพูดว่า  “สวัสดีท่านเจ้าคุณ  หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ” ท่านพ่อฯ รู้สึกแปลกใจและสงสัยจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร ?  มาจากไหน ?  เสียงประทับทรงตอบว่า “พวกหม่อมฉันเป็นพญานาคราช  มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย  มีนามตามลำดับเป็นมงคลตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ  คือ  ๑.  พญาสัทโทนาคราชเจ้า  เป็นประธาน  ๒. พญาศีลวุฒินาโค ๓.  พญาหิริวุฒนาดโค  ๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค  ๕. พญาสัจจะวุฒินาโค  ๖. พญาจาคะวุฒนาโค  ๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค

หม่อมฉันทั้งเจ็ดได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ พวกเทพยดาที่รักษาองค์พระธาตุอยู่ก่อนนิสัยไม่ดีอาศัยกินสินบนและเครื่องเซ่นสรวงของชาวบ้าน พวกหม่อมฉันไม่ต้องการอามิสสินจ้างรางวัลของเซ่นสรวงใดๆ ทั้งนั้นขอแต่น้ำบูชาถวายเดียวก็พอใจแล้วจะอยู่รักษาองค์พระธาตุไปจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพระสมณโคดม”

                ท่านพ่อฯ ได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆ อีกหลายประการ  แต่ยังไม่ปลงใจเชื่อแต่อย่างใด  ต่อมาพญานาคก็เข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เรื่อย ๆ เป็นต้นว่า  แสดงธรรมสั่งสอนเมื่อทางวัดมีเรื่องเดือดร้อนก็บอกได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ  และแนะแนวทางแก้ไข  ท่านพ่อฯ เริ่มเอาใจใส่อยากจะพิสูจน์หเห็นแจ้งจึงได้ให้พระวิปัสสนาธุระในวัดนั่งทางในตรวจสอบด้วย “ตาญาณ” ในขณะที่พญานาคเข้าประทับทรงร่างของสามเณรทรัพย์  ครั้นแล้วก็ได้พบมาณพรูปงามแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายเจ้าฟ้ามหากษัตรย์จำนวน  ๗  องค์  ปรากฏร่างทิพย์  มีรัศมีกายสีสันสวยงามต่าง ๆ กันเช่น  สีน้ำเงิน  สีเขียวนิล  สีเขียวอ่อน  สีเหลือง  สีชมพู  สีแสด  และสีขาว  องค์ที่กำลังเข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เป็นสง่าหาได้แทรกซ้อนอยู่ในร่างคนทรงแต่อย่างใดไม่

                พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณ  หรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจ  ได้ไต่ถามทักทายทางในโดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?

                ร่างทิพย์ที่มีกายสีน้ำเงินตอบไพเราะเปี่ยมเมตตาว่า  “หม่อมฉันมีนามว่าพญาสัทโทนาคราชเจ้า  เป็นหัวหน้า  หรือประธานหมู่คณะ  องค์ถัดไปที่มีสีเขียวนิลคือพญาศีลวุฒินาโค  องค์สีเขียวอ่อนคือพญาหิริวุฒินาโค  องค์สีเหลืองคือพญาโอตตัปปะวุฒินาโค  องค์สีชมพูคือพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค  องค์สีแสดคือพญาจาคะวุฒินาโค  องค์สีขาวคือพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค  มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย  พระอินทราธิราชเจ้าบนสวรรค์ทรงมีบัญชาให้มาเฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้วยว่าพวกเทพยดาที่เคยรักษาที่นี่อยู่ก่อนมีนิสัยไม่ดี  อาศัยแต่อามิสของชาวบ้าน  เครื่องเซ่นสรวง  หมูเห็ดเป็ดไก่  เหล้ายาปลาปิ้ง  เป็นที่อับอายขายหน้าแก่คนต่างศาสนา  ทำให้พระพุทธศาสนาหมอง  หม่อมฉันจึงได้  ขับไล่พวกเทพยดาชั่วช้าเหล่านั้นให้หนีไปแล้วเข้ารักษาองค์พระธาตุพนม”

                พระวิปัสสนาธุระผู้มีทิพยจักษุพอใจในคำตอบมากจึงออกจากฌาณสมาธิ  แล้วคลานเข้ามากระซิบที่หูท่านพ่อฯ แล้วบอกว่าลองสอบถามสามเณรทรัพย์ดัง ๆ เพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ๆ ในหมู่ผู้เข้าสังเกตการณ์ในวันนั้นจำนวนมากว่า  “ท่านเป็นใคร? ” มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?”

                ปรากฏว่าสามเณรทรัพย์ที่ถูกประทับทรงตอบได้ถูกต้องตรงกันกับที่พระวิปัสสนาจารย์ได้ไต่ถามทางตาในหรือทิพยจักษุ ทุกประการ  เป็นที่น่าพอใจของท่านพ่อฯ มาก  และเริ่มจะเชื่อมาบ้างแล้ว  จึงได้สอบถามต่อไปอีกว่า 

“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้ามาปรากฏในที่นี้เหตุไฉนจึงแปลงร่างเป็นเทพบุตรมา  จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นพญานาคราชจริง”

                ร่างสามเณรที่ประทับทรงหัวเราะน้อย ๆ ก่อนตอบอย่างไพเราะว่า

“ ที่ไม่ปรากฏกายเป็นพญานาคมาก็เปรียบเสมือนคนเราได้เห็นผ้าขาดย่อมจะไม่สวยงามตา  อันว่าสภาพร่างกายของพญานาคนั้น  ย่อมจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวไม่งามตาสำหรับมนุษย์มิใช่หรือท่านเจ้าคุณ”  ท่านพ่อฯ พอใจในคำตอบอันคมคายนี้  แล้วได้ถามต่อไปว่า

“ พระองค์เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมนี้  เฝ้าอย่างไร?”

                พญานาคราชตอบว่า

“หม่อมฉันพญาสัทโทนาคราชเจ้า  รักษาองค์พระธาตุพนมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  พญาศีลวุฒินาโคและพญาหิริวุฒินาโค  รักษาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้  พญาโอตตัปปะวุฒินาโคและพญาพาหุสัจจะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้  พญาจาคะวุฒินาโคและพญาปัญญาเตชะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”

            “พระองค์ทรงอยู่กินหลับนอนอย่างไร”  ท่านพ่อถามต่ออีก

“พวกหม่อมฉันมีทิพยวิมานอยู่ใต้องค์พระธาตุนี้เอง  จะเรียกว่าอยู่ใต้บาดาลก็ได้เป็นทิพยวิมานที่สวยงามมาก  มีสระน้ำ  มีสวนดอกไม้  มีภูเขาเงิน  ภูเขาทอง  ว่าง ๆ นิมนต์ท่านเจ้าคุณลงไปชะมดูก็ได้  ผู้ใกสมาธิทางสมถวิปัสสนาได้สมาธิแก่กล้าดับพละได้แม้เพียงห้านาทีก็สามารถจะเห็นพวกหม่อมฉันได้ทางฌาณ  ท่านเจ้าคุณก็ดับพละได้มิใช่หรือ ?” ร่างทรงสามเณรตอบ

                ท่านพ่อ  ถามต่อไปอีกว่า

“ พระองค์จะให้หม่อมฉันเข้าใจว่า  ที่พระธาตุพนมนี้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นจาตุมหาราชิกากระนั้นหรือ”

“ถูกต้องแล้ว  เมื่อสร้างองค์พระธาตุพนมเสร็จพญาทั้ง ๕ นครผู้สร้างได้กลับบ้านกลับเมืองและพระมหากัสสปะเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งห้าร้อยองค์  ได้เสด็จกลับชมพูทวีปด้วยอธิษฐานจิตวิญญาณแล้ว  พระอินทราธิราชเจ้า  ได้ทรงแต่งตั้งให้เทวดามีชื่อเป็นหัวหน้าพากันอยู่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมพร้อมบริวารจำนวนสี่พันหกพระองค์  และมเหศักดิ์หลักเมืองอีกสามพระองค์  เมื่อที่ไหนมีเทพยดามาสิงสถิตอยู่  ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานสำหรับให้เทพยดาอยู่เป็นธรรมดา  เมื่อพวกหม่อมฉันมาถึงที่นี่เพื่อรับหน้าที่แทน  ได้ขับเทพยาดาเหล่านั้นไปหมดแล้ว  สภาวะทิพย์หรือประสาทวิมานสวรรค์ชั้นฟ้าของพวกเทพยดาก็สลายไปโดยอัตโนมัติ คือ  ว่าสภาวะทิพย์ของเทพยดาทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นด้วยบุพฤทธิ์  ไม่ใช่มีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว  อย่างพวกหม่อมฉันนี้  พอมาถึงที่นี่สภาวะทิพย์ด้วยบุพฤทธิ์ก็เนรมิตทิพย์วิมานใต้บาดาลอยู่ภายใต้องค์พระธาตุพนมให้เลยทีเดียว”

                พญาสัทโทนาคราชเจ้า  ทรงให้อรรถาธิบายผ่านร่างทรง ท่านพ่อฯ พอใจมากจึงถามต่อไปอีกว่า

“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้าอยู่ในบาดาลหรือใต้ดินนี้หายใจได้อย่างไร?”

“ทารกในครรภ์มารดาหายใจได้  ตัวด้วงในไม้หายใจได้  ไส้เดือนในดินหายใจได้อย่างไร  หม่อมฉันก็หายใจได้อย่างนั้นดุจเดียวกัน” ร่างทรงตอบ  ท่านพ่อถามต่อไปว่า “สามเณรทรัพย์ผู้นี้มีศีลบริสุทธิ์ มีฌาณสมาธิแก่กล้า  ขณะเข้าฌานตรวจสอบในวันแรก  ได้พบพระองค์ที่ลานพระธาตุนั้น  เหตุไฉนพระองค์จึงเข้าประทับทรงร่างสามเณรผู้กำลังอยู่ในฌาณได้  หม่อมฉันสงสัย”

“ผู้มีฌานแก่กล้า  มีศีลบริสุทธิ์อย่างสามเณรน้อยรูปนี้  วิญญาณผีปิศาจเข้าสิงเข้าทรงไม่ได้หรอก  แต่สำหรับวิญญาณชั้นสูงคือ เทพพรหมแล้วละก็  สามารถจะเข้าประทับทรงได้ด้วยสาเหตุสองประการ คือ  หนึ่งเข้าเพราะมีกรรมเก่าพัวพันมาก่อนในอดีตชาติ  สองเข้าเพื่อเจตนาจะมาสร้างกุศลผลบุญ  ทำความดีไว้ในโลกมนุษย์  หม่อมฉันเข้าประทับทรงสามเณรน้อยรูปนี้ก็ด้วยเหตุประการหลัง  คือ  ต้องการติดต่อกับท่านเจ้าคุณ  เพื่อแจ้งประสงค์ให้ทราบว่า  พวกหม่อมฉันทั้ง ๗ นี้  นอกจากจะมีหน้าที่รักษาองค์พระธาตุพนมแล้ว  ยังมีจิตเมตตาใคร่ที่จะช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและทางใจให้แก่มนุษย์ทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชาติไม่เลือกศาสนา” ร่างทรงกล่าว

            “ พระองค์จะให้หม่อมฉันช่วยอะไรบ้าง”  ทนพ่อฯ  ถาม

“ท่านเจ้าคุณจะต้องเป็นประธานในการประทับทรงทุกครั้งไป  ผู้ที่จะเป็นร่างทรงคือสามเณรหรือแม่ชีผู้มีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น  ฆราวาสไม่เอา  ประชาชนที่จะมาบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจนี้จะต้องทำบัญชีรายชื่อไว้เป็นหลักฐาน  เหมือนทะเบียนประวัติคนไข้ตามโรงพยาบาล  แล้วจากนั้นนำคนมีทุกข์ที่ได้ลงชื่อเสียงเรียงนามแล้วมาให้หม่อมฉันตรวจสอบอาการดูว่า  เขาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรกันแน่  ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บทางกาย  ก็จะได้สั่งยาให้กินเช่นยาไทย  ยาจิต  ยาฝรั่ง  หรือสมุนไพรที่มีอยู่ตามเรือกสวนไร่นา  แต่ถ้าเป็นประเภทโรคจิตฟั่นเฟือน  มึนซึมกระทือ  เป็นบ้าใบ้  เสียจริต  มึนงงหลงใหล  หวาดกลัวร้องไห้  หัวเราะ  ใจคอหงุดหงิด  จิตไม่เที่ยง  ฝันร้ายนอนสะดุ้งคิดมาก  ปวดหัวมัวตานาน ๆ ต้องคุณผี  คุณคนทำ  ผีเข้าเจ้าสิง  เป็นโรคลมต่าง ๆ ไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ เจ็บท้อง  เจ็บหน้าอก  ง่อยเปลี้ยเสียขา  ตามืดบอด  ปวดหลังปวดเอว  สัตว์พิษกัดต่อย  อะไรเหล่านี้  จะต้องรักษากันด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์และจิตอำนาจเทวฤทธิ์” พญานาคราช  กล่าว

“สาธุ  เป็นพระมหากรุณาของพระองค์ยิ่งล้นพ้นที่ทรงมีจิตคิดเมตตาต่อมนุษย์ผู้มีทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้  หม่อมฉันพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติตามประสงค์ทุกประการ”

                ท่านพ่อฯ กล่าวด้วยบังเกิดความเชื่อมั่นแน่แล้วว่าวิญญาณที่ประทับทรงร่างสามเณรทรัพย์นี้  คือ  พญานาคราชเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์บารมีในทางสัมมาทิฎฐิ  เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์  รับบัญชาการจากพระอินทราธิราช

“พระองค์ต้องการจะให้มีเครื่องเซ่นสรวงบูชาอะไรบ้างหรือเปล่า”

“เครื่องเซ่นสรวงบูชาไม่เอา  ขายหน้าชาวต่างชาติต่างศาสนาเขา  ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง  หม่อมฉันขอน้ำเปล่าสักถ้วยหนึ่งก็พอแล้ว  ด้วยว่าน้ำนี้เป็นสภาวะของพวกนาคราช  คือ  ต้องอาศัยน้ำเป็นสื่อปัจจัยถ้าใครผู้ใดมีจิตรำลึกถึงต้องการจะติดต่อด้วยกับหม่อมฉันก็ขอให้ตั้งถ้วยน้ำขึ้น  แล้วลอยด้วยดอกมะลิหอม  จุดธูปเจ็ดดอก  กล่าวอัญเชิญก็จะสามารถส่งกระแสจิตติดต่อกันได้ทันที” พญาสัทโทนาคราชเจ้ากล่าว

                นี้คือค้นเหตุความเป็นมาแรกเริ่มเดิมที่จะจัดให้มีการประทับร่างทรงพญานาคทั้ง ๗ องค์ขึ้นที่วัดพระธาตุพนม  ตั้งแต่ปี  พ.ศ.  ๒๕๐๐  เป็นต้นมา  ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร  ได้กล่าวอยู่เสมอว่า  พระมหาเจดีย์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์  เก่าแก่อายุกว่า ๒๕๐๐ ปี  องค์นี้เป็นที่รวมชีวิตจิตใจของชาวภาคอีสานและพี่น้องฝั่งลาวทั่วประเทศ  เวลามีงานเทศกาลประจำปีจะมีพุทธศาสนิกชนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงมานมัสการเป็นแสน ๆ มีจำนวนไม่น้อยที่มาขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของพญานาคทั้ง ๗ ไปกิน  ไปทารักษาโรคภัยไข้เจ็บจนหายเป็นปกติดีเป็นที่เรื่องลือในเรื่องความมหัศจรรย์ บ้างก็มาขอหยูกยา  บ้างก็มาขออาบน้ำมนต์  บ้างก็มาขอบูชาพระเครื่องที่พญานาคทั้ง ๗ ปลุกเสก

“ให้เอาน้ำใสสะอาดใส่  เอาผ้าขาวสะอาดหุ้มปากให้แน่นแล้วยกเข้าไปตั้งไว้ติดโคนฐานองค์พระธาตุพนมภายในกำแพงแก้ว  เก็บไว้ในที่นั้นอย่างน้อยหนึ่งคืน  เพื่อให้ท่านเสกคาถาเทวฤทธิ์  วันรุ่งขึ้นก็เอาออกมาใส่หม้อน้ำมนต์ที่อยู่ในกุฏิของท่าน  เมื่อใครเป็นอะไรให้มาขอก็ให้ไป”  สำหรับไหพระธาตุนี้   เมื่อคราวพระธาตุพนมพังทลายปี  ๒๕๑๘  ไหน้ำมนต์พระธาตุตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงแก้วชั้นที่ ๒ ห่างจากองค์พระธาตุพนมประมาณ  ๓  เมตร  อยู่ในท่ามกลางอิฐซึ่งพังลงมาทับถมอยู่รอบ ๆ ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย  ยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิม

                นอกจากการเสกน้ำมนต์รักษาคนไข้แล้ว  พญานาคราชเจ้าที่ประทับทรงสามเณรยังรักษาคนที่ป่วยเป็นนิ่วให้ด้วยโดยการใช้พลังเทวอำนาจสูบนิ่วออกมาให้เห็นกับตา  คนป่วยเป็นพันรายหายจากการทรมานจากโรคนิ่วโดยวิธีนี้

                วิธีการรักษาก็คือ  ขั้นแรกจะต้องทำพิธีอัญเชิญพญานาคราชเจ้าทั้ง ๗ องค์มาชุมชนเสียก่อน  ต่อจากนั้นสามเณรก็จะเข้าสมาธิจิตติดต่อเข้าเฝ้าพญานาคราชเจ้าทั้งเจ็ด  ตอนนี้เองพญานาคราชองค์ใดองค์หนึ่งจะเข้าประทับทรงร่างสามเณร  ท่านพ่อฯ ซึ่งเป็นประธานในการประทับทรงนี้  จะให้คนไข้ที่เป็นนิ่วเข้ามานั่งหน้าแท่นพุทธบูชาห่างจากสามเณรประมาณ  ๑  วา  โดยมีพระผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระอีกรูปหนึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ หลับตาทำสมาธิคอยตรวจสอบเหตุการณ์  เมื่อพญานาคเข้าประทับทรงสามเณรแล้ว  พญานาคจะบอกให้คนไข้นั่งตามสบาย  เพื่อให้ท่านตรวจหาก้อนนิ่วในท้อง  และโรคภัยอื่น ๆ ที่อาจมีแอบแฝงอยู่  ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ  ๑  นาที  ก็สามารถจะบอกได้ว่า  ในท้องมีนิ่วกี่ก้อน  จากนั้นก็ให้คนไข้อ้าปากขึ้น  สักครู่เดียวพญานาคราชเจ้าจะดูดเอาก้อนนิ่วในท้องออกมา  แล้วพ่นออกจากปาก  (ปากของสามเณร  โดยก้อนนิ่วนี้จะมาเข้าปากสามเณรที่ถูกประทับทรงก่อนแล้วจึงพ่นออกมาอีกที)

                พระผู้เชียวชาญวิปัสสนาธุระ  หลับตาทำสมาธิ  จิตคอยตรวจสอบเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาบอกว่า  “ขณะที่คนไข้เป็นนิ่วอ้าปากอยู่นั้น  มองเห็นกายทิพย์ของมนุษย์ร่างหนึ่งมีขนาดโตเท่านิ้วก้อยมีรัศมีสุกปลั่ง  เหมือนประกายดาวบนฟ้าได้ลอยพุ่งออกจากร่างสามเณร  เลื่อนไหลเข้าไปในปากคนไข้  แล้วก็กลับออกมาเข้าร่างสามเณรอย่างเดิม  จากนั้นก็เห็นสามเณรพ่อนก้อนนิ่วออกจากปาก”

                ต่อมาพญานาคราชเจ้าได้เข้าประทับทรงทำการักษาโรคใช้ชาวบ้านอย่างพิสดารมหัศจรรย์  นั่น  คือ  รักษาโรคมะเร็งขแงเม็ดเลือดขาว  หรือลูคีเมีย  ด้วยการสูบเลือดให้ออกจากร่างคนไข้  พ่นออกมาทางร่างประทับทรง  ลงกระโถนแล้วเต็มเลือดบริสุทธิ์ให้ด้วยสภาวะทิพย์  ปรากฏว่ารักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาวด้วยวิธีนี้  หายเป็นปกติมีอายุยืนยาวต่อไปหลายรายเป็นที่เลื่องลือ

                พญานาคราชเจ้าที่เข้าประทับทรงสามเณรเพื่อรักษาโรคนั้น  นอกจากรักษาโดยการสูบนิ่วออกจากคนไข้แล้ว  ยังสามารถรักษาคนที่ถูกผีกระทำ  คนมีวิชาอาคมกระทำอีกด้วย  เช่น  สูบตะปูขนาด  ๓  นิ้ว  ๓  ดอก  ออกจากคนไข้รายหนึ่ง  อีกรายหนึ่งได้สูบเอากระดูกผียาวประมาณคืบศอกออก  บางรายก็สูบเอาเส้นผมผีตายท้องกลมบ้าง  ก้อนกรวดบ้าง  ด้วยมัตตาสังข์  คางคกตายซาก  เศษกระดูก  ของมีคมและอะไรต่อมิอะไร  อีกหลายอย่างซึ่งสิ่งของ  ท่านพ่อฯ  ได้เก็บไว้ให้คนที่รักษาเป็นบางส่วน  ที่เก็บไว้ก็มีไม่ได้มาก  เช่น  เนื้อควายสด ๆ เปลวหมูดิบ ๆ หนังควาย  คุณไสยสด ๆ ประเภทนี้เมื่อสูบออกจากท้องจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น  แต่สักประเดี๋ยวก็จะเกิดอาการสั่นกระดุกกระดิกคล้ายสิ่งมีชีวิตและขยายตัวโตขึ้น ๆ เอาไปชั่งดูปรากฏว่าน้ำหนัก ๓-๔ กิโลกรัมก็มี  ต้องให้ศิษย์วัดเอาไปฝังในป่าช้า

                ท่านพ่อฯ  บอกว่าพวกคุณไสยนี้เป็นวิชาลึกลับร้ายกาจของพวกเขมรและอิสลาม  พญานาคราชเจ้าท่านบอกว่าตรวจเห็นได้ง่ายกว่าอย่างอื่น  เพราะเป็นวัตถุที่มีอยู่ในโลก  แต่ถ้าเป็นวิญญาณผีร้ายประเภทต่าง ๆ เข้าสิงในร่างแล้ว  จะมองเห็นเป็นจุดดำ ๆ หลบซ่อนอยู่ในร่างกายคนไข้ที่โน่นที่นี่  ต้องสำทับสั่งให้ปรากฏร่างมันถึงจะแสดงตัวเป็นรูปร่างให้เห็น  พญานาคจะสั่งให้มันออกจากร่างคนไข้  ผีบางตัวก็ยอมโดยดีด้วยความกลัว  แต่ผีบางตัวดุร้ายมีฤทธิ์ไม่ยอมออกง่าย ๆ ผีประเภทนี้พญานาคราชเจ้าท่านเพียงแต่คอยยืนกำกับสั่งการให้ร่างทรงปราบเองโดยบอกคาถาปราบให้บ้าง  ซึ่งคนไข้เหล่านี้เมื่อวิญญาณผีออกจากร่างไป  ก็จะหายเป็นปกติ

                การรักษาคนไข้ของพญานาคราชเจ้า  ด้วยการเข้าประทับทรงนี้ส่วนมากหายขาดจากโรงภัยได้อย่างมหัศจรรย์  แต่ก็มีหลายรายเหมือนกันที่ไม่รอด  เพราะถึงคราวที่ต้องตายไปตามวิบากกรรมของตน  รายไหนจะไม่รอด  พญานาคราชเจ้าจะตรัสผ่านทางร่างประทับทรงว่า  คนไข้รายนี้อาการหนักนะท่านเจ้าคุณ  ถ้าท่านบอกอย่างนี้ก็แปลว่าแย่  ไม่มีทางรักษาได้นอกจากจะผ่อนหนักเป็นเบา  เช่นกำหนดคงจะตายภายในสามวันหรือเจ็ดวัน  แต่พ่อแม่หรือลูกหลานอยู่ไกลยังมาไม่ถึงอยากเห็นหน้าอยากจะสั่งเสียอะไรเหล่านี้  พญานาคราชเจ้าก็พอจะช่วยต่ออายุให้ได้บ้างตามสมควรแก่กรณี

No comments: